Thursday, January 20, 2011

รีวิว Samsung Galaxy S

Samsung Galaxy S เป็นหนึ่งในมือถือ Android ที่น่าจับตามองที่สุดในขณะนี้ (และวางขายจริงแล้ว) สำหรับในเมืองไทย ซัมซุงขายผ่าน AIS ในราคา 22,898 รวมแวทแล้ว ซึ่งปรากฎว่าขายดีขนาดที่ว่าเปิดรับจองสามชั่วโมงแรก มียอดจองเฉลี่ยนาทีละเครื่องเลยทีเดียว (ข้อมูลจาก press release ของซัมซุงประเทศไทยครับ)
ผมได้เครื่องมาสักพักนึงแล้ว แต่ดองไว้นานกว่าจะได้เขียนรีวิว T_T ตอนนี้รวบรวมแรงกายแรงใจเขียนออกมาแล้ว ใครสนใจก็ตามอ่านกันได้เลย

เกริ่น

ผู้อ่าน Blognone ที่เป็น power user คงไม่มีใครไม่รู้จัก Android และเท่าที่ดูจาก badge แล้ว แถวนี้มีคนใช้ Android อยู่ไม่น้อย คงไม่ต้องอธิบายหรือปูพื้นเรื่อง Android กันมากนัก (ถ้ายังไม่รู้จัก Android ลองย้อนไปอ่านซีรีส์ เปิดโลก Android, ตอนที่สอง, ตอนที่สาม ละกันนะครับ)
คนที่เคยจับ Android มาแล้ว คงจะมีความรู้สึกคล้ายๆ กับผมว่า "มันยังทำไม่เสร็จ" เรื่องฟีเจอร์น่ะโอเค แต่ระดับความเนี้ยบนั้นยังสู้คู่แข่งไม่ได้ ยังให้ความรู้สึกเป็น developer phone อยู่มาก ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะซอฟต์แวร์เองด้วย (กูเกิลรับรู้ปัญหานี้ และประกาศว่าจะแก้แล้ว) ผมจับ Android มาหลายเครื่องหลายยี่ห้อ ก็ยังให้ความรู้สึกทำนองนี้กันหมด
แต่ Samsung Galaxy S เป็นมือถือตัวแรกที่ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่ developer phone อีกต่อไป มันกลายเป็น consumer phone อย่างแท้จริงแล้ว อันนี้ไม่ได้เวอร์หรือโฆษณา แต่จะค่อยๆ อธิบายต่อไปว่าทำไมครับ

Samsung Galaxy S

ซัมซุงกระโจนเข้ามาในตลาด Android ได้สักพักแล้ว มือถือตัวแรกคือ Galaxy i7500 ถือเป็นการลองตลาด และยังไม่โดดเด่นเท่าไรนัก ก่อนจะมาดังระเบิดกับ Galaxy Spica i5700 ที่จับตลาดกลาง แถมมีจุดขายที่ราคาถูกมาก! (ได้ยินเสียงกระซิบมาจากซัมซุงว่าตัวนี้ขายดีมาก) สองตัวนี้ใช้ Android รุ่นต้นตำรับจากกูเกิล ซึ่งไม่มีความแตกต่างจากคู่แข่งอื่นๆ ในตลาดมากนัก
Samsung Galaxy S หรือ i9000 นับเป็นมือถือตัวที่สามของซัมซุง ความน่าสนใจของมันมีหลายประการ แต่ผมคิดว่าที่สำคัญมี 3 ประเด็น
  • เป็นมือถือระดับบนสุด flagship phone อัดสเปกฮาร์ดแวร์มาเต็มพิกัด
  • ฝั่งซอฟต์แวร์ เพิ่ม TouchWiz UI 3.0 ครอบ Android ปกติเข้ามา
  • ซัมซุงเริ่มสร้างบริการออนไลน์ของตัวเอง เช่น Samsung Apps ร้านขายโปรแกรมเฉพาะยี่ห้อนี้
มือถือในท้องตลาดตอนนี้ ที่พอฟัดเหวี่ยงในแง่ฮาร์ดแวร์ก็มี HTC Desire ซึ่งเป็นมือถือตัวท็อปของ HTC สาย GSM (จริงๆ ตอนนี้มี HTC Incredible และ HTC EVO 4G ด้วย แต่มันเป็นสาย CDMA/WiMAX ผมไม่นับละกันนะครับ) นอกจากนี้ยังมี Nokia N8 และแน่นอน iPhone 4 ซึ่งยังไม่วางขาย ณ ขณะที่เขียน
เท่าที่ผมมีข้อมูล ณ ตอนนี้ ผมคิดว่าซังซุงจะยังไม่เปิดตัวมือถือที่สูงกว่า Galaxy S จนกว่าจะถึงสิ้นปี โดยระดับไล่เลี่ยกันจะมี Galaxy S Pro ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกันที่เพิ่มคีย์บอร์ด และ Galaxy Beam มาพร้อมกับฟีเจอร์โปรเจคเตอร์ที่ผมว่ามันยังเฉพาะทางมากๆ ส่วนมือถือตัวอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Galaxy 2, Galaxy 5, Galaxy Apollo ล้วนแต่จับตลาดต่ำลงมากว่านี้ทั้งนั้น
ดังนั้น ถ้าสนใจมือถือ Android รุ่นท็อป Galaxy S จะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก ไปจนกว่าจะถึงช่วงคริสต์มาสซึ่งเป็นฤดูจับจ่ายของฝรั่ง ผมเดาว่าซัมซุงถึงจะปล่อยมือถือระดับบนออกมาอีกครั้งครับ (อยู่ได้อีกครึ่งปี)

สเปก

ปกติแล้วผมไม่ค่อยเน้นเรื่องสเปกของฮาร์ดแวร์มือถือเท่าไรนัก แต่รอบนี้ Galaxy S มีจุดขายที่ฮาร์ดแวร์เทพ คัดมาเฉพาะไฮไลท์ละกันครับ
  • ซีพียู ARM Cortex-A8 ผลิตโดยซัมซุงเอง รหัส "Hummingbird" ความถี่ 1 GHz
  • จอภาพ เป็นจอ Super AMOLED ขนาด 4.0" ความละเอียด 480x800 อันนี้เดี๋ยวจะกล่าวต่อไป
  • กล้อง กล้องหลัง 5.0 MP, ออโต้โฟกัส, (ไม่มีแฟลช) ถ่ายวิดีโอได้ 720p ส่วนกล้องหน้า 0.3 MP
  • หน่วยความจำ RAM 512 MB, หน่วยความจำภายใน 16 GB, ใส่ Micro SD เพิ่มได้เองต่างหาก
  • การเชื่อมต่อ 3G HSUPA, Wi-Fi 802.11n, Bluetooth 3.0, DNLA
  • แบตเตอรี่ 1500mAH
  • ความหนา 9.9 มม. (ไม่ถึงเซ็นดี)
สเปกอย่างอื่นก็มาตรฐาน เช่น A-GPS, ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม., proximity sensor อะไรทำนองนี้ ใครสนใจตามหารายละเอียดกันเอง (เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ)
ส่วนของซีพียู Hammingbird มีประเด็นที่น่าสนใจเช่นกัน ก่อนหน้านี้มีข่าวออกมาว่า Samsung Galaxy S มี GPU เร็วกว่า iPhone 3 เท่า ถ้าจะให้เล่าแบบละเอียดคือ ชุดหน่วยประมวลผล (CPU+GPU) ของ Galaxy S ซึ่งประกอบด้วย Hummingbird หรือ S5PC110 บวกกับหน่วยประมวลผลกราฟฟิค PowerVR SGX540 สามารถประมวลผลโพลีกอนได้ถึง 90 ล้านชิ้นต่อวินาที
คู่แข่งในระดับเดียวกัน (ที่มีข้อมูล)
  • Nexus One ที่ใช้ Qualcomm Snapdragon QSD8x50 1GHz + Adreno 200 ได้ 22 ล้านชิ้น
  • iPhone 3GS ใช้ Cortex-A8 เหมือนกันแต่ความถี่ 600 MHz + PowerVR SGX535 ได้ 28 ล้านชิ้น
ในแง่สเปกแล้วถือว่า Galaxy S ดีกว่ามาก ในแง่การใช้งานอันนี้เทียบไม่ได้จริงๆ ครับ :P

รูปลักษณ์ภายนอก

Galaxy S เป็นมือถือตระกูลแท่งหรือ candybar มีกรอบโครเมียมสีเงินรอบตัว ดังภาพ


ร้อยละร้อยของคนที่เห็น Galaxy S จะนึกว่ามันเป็น iPhone ครับ (ผมด้วยอะ สารภาพ) แต่ก่อนที่เราจะนำมันไปเทียบกับ iPhone ก็มาดูรายละเอียดรอบตัวของมันก่อน


ด้านล่างของจอภาพ มีปุ่ม 3 ปุ่ม ปุ่มกลางทำหน้าที่กลับเข้า Home ด้านซ้ายขวามี "ปุ่มที่มองไม่เห็น" เป็นเนื้อเดียวกับจอ ปุ่มฝั่งซ้ายคือ Menu ส่วนปุ่มขวาคือ Back
ฟีเจอร์การรับสายและวางสายต้องสัมผัสหน้าจอแทน ที่ผมว่าน่าสนใจคือซัมซุงไม่ได้ให้ปุ่ม Search ที่กูเกิลพยายามดันนักดันหนามาด้วย


ด้านบนของตัวเครื่องมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. มาตรฐาน และพอร์ต Micro USB สำหรับสายชาร์จและสายเชื่อม จุดนี้เป็นอีกจุดที่น่าสนใจ เพราะมี "บานเลื่อน" สำหรับกันฝุ่นมาให้ด้วย
ด้านข้างซ้ายมือมีปุ่มปรับระดับเสียง ส่วนฝั่งขวาเป็นปุ่มเปิดเครื่อง+ล็อคหน้าจอ ไม่มีปุ่มชัตเตอร์แยกต่างหากมาให้


ฝาหลังเป็นฝาครอบลงไปทั้งอัน เวลาจะเปิดต้องแกะขึ้นมาตรงๆ ซึ่งผมพบว่ามันแกะยากพอสมควร (เสียวว่ามันจะหัก เครื่องก็ยืมเขามา) อันนี้เป็นจุดบกพร่องเล็กน้อยที่ซัมซุงควรแก้ไขในรุ่นหน้า
แต่พอเปิดฝาครอบออกมาแล้วกลับทำได้ดีครับ ผมสามารถถอด Micro SD และซิมการ์ดออกมาได้เลยโดยที่ไม่ต้องถอดแบตแบบมือถือรุ่นอื่นบางตัว Galaxy S สามารถทำงานในโหมดไร้ซิมไร้ SD ได้ไม่มีปัญหา

ขนาดของ Galaxy S ถือว่าใหญ่พอสมควร เมื่อเทียบกับมือถือในท้องตลาด แต่ผมลองพกในกระเป๋ากางเกงยีนส์แล้วพบว่าไม่มีปัญหาในการล้วงสักเท่าไร (ถ้าใหญ่กว่านี้อีกนิดแบบ EVO 4G หรือ Droid X ก็ไม่แน่) และแน่นอนว่า ขนาดที่ใหญ่ขึ้นมาพร้อมกับจอภาพที่ใหญ่ขึ้น แรกๆ ยังไม่คุ้นแต่ใช้ไปสักพักแล้วผมพบว่ามันดีกว่าดูจอเล็กๆ มาก
จุดขายสำคัญของ Galaxy S อีกประการคือความบาง (ดูภาพแรกสุดประกอบ) จับครั้งแรกถึงกับตกใจว่าทำไมบางได้ขนาดนี้ (แต่ตอนนี้โดน iPhone 4 เฉือนทำลายสถิติความบางไปประมาณ 0.5 มิลลิเมตร) อย่างไรก็ตาม Galaxy S ไม่ได้มีความหนาเท่ากันตลอดทั้งอัน ช่วงก้นจะงอนออกมานิดหน่อย
จุดด้อยสำหรับรูปลักษณ์ภายนอกคือ วัสดุยังดูพลาสติกไปสักนิด (เทียบกับ Wave แล้วผมว่า Wave ดูบึกบึนกว่า) และหน้าตาที่ดู iPhone มากๆ ซึ่งอันนี้มีทั้งข้อเสียและข้อดี

เปรียบเทียบตัวต่อตัว

ไหนๆ ก็เลี่ยงการเปรียบเทียบกับ iPhone ไม่ได้อยู่แล้ว เราจับมันมาเทียบกันตรงๆ เลยดีกว่า (ขอบคุณคุณออย @hohoteam ที่ให้ยืม iPhone 3G มาถ่ายรูปเทียบ)


จากภาพจะเห็นว่า Galaxy S ใหญ่กว่า iPhone เล็กน้อย


เทียบความหนา Galaxy S บางกว่าชัดเจน แต่เดี๋ยวรอ iPhone 4 ออกแล้วค่อยมาเทียบกันอีกทีจะดีกว่าครับ


ลองจับมาเทียบกับ HTC Desire บ้าง จอสวยทั้งคู่ แต่ไม่มีเวลาทดสอบเทียบกันแบบละเอียดๆ เลยครับ


Galaxy S บางกว่าเช่นกัน
เรื่องรูปลักษณ์และฮาร์ดแวร์ภายนอก ผมคิดว่าสุดท้ายแล้ว มันจะมีเรื่องความชอบส่วนตัวเข้ามาประกอบการตัดสินใจด้วย คงฟันธงลำบากว่าใครดีกว่าใคร สิ่งที่ผมทำได้คือชี้จุดดีจุดเสียของแต่ละเครื่อง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ และเรื่องพวกนี้แนะนำให้ไปลองจับเครื่องจริงอีกครั้งก่อนตัดสินใจซื้อนะครับ

จอภาพ Super AMOLED

Samsung Galaxy S เป็นมือถือตัวที่สองของโลกที่ใช้จอภาพ Super AMOLED และเป็นมือถือ Android ตัวแรกที่ใช้จอตัวนี้ (ตัวแรกคือ Samsung Wave ที่ใช้ bada)
Super AMOLED ถือเป็นอาวุธลับอย่างแท้จริงของซัมซุง มันเป็นการยกระดับครั้งสำคัญจากจอ AMOLED ที่มือถือรุ่นก่อนหน้านี้สักพักอย่าง Nexus One ใช้ เพียงแต่คราวนี้ซัมซุงใช้แต้มต่อ Super AMOLED เป็นจุดขายของมือถือตัวเอง โดยประกาศชัดว่า "จะมีแต่มือถือซัมซุงเท่านั้น" ที่ได้ Super AMOLED (เดาว่าอย่างน้อยๆ ก็ใน 1-2 ปีข้างหน้านี้)
Super AMOLED คืออะไร? ผมขอรียูสวิดีโอเดิมเมื่อครั้งรีวิว Samsung Wave นะครับ



รอบนี้ผมได้มีโอกาสลองใช้กลางแดดจัดๆ แล้ว พบว่า Super AMOLED สู้แดดได้ในระดับหนึ่ง แต่ต้องปรับความสว่างสูงสุด และดูตัวอักษรขาวบนพื้นดำเท่านั้น (อักษรดำบนพื้นขาว มันสว่างสู้แดดจ้าๆ ไม่ไหว คงต้องรอจอจาก Pixel Qi) แต่ถ้าเป็นสภาพแวดล้อมทั่วไป ไม่ได้ยืนตากแดดตรงๆ อันนี้สบายมากครับ


จอความละเอียด 480x800 ขนาด 4" ช่วยให้ประสบการณ์ในการอ่านบนมือถือดีขึ้นหลายเท่าตัว ผมลองลงโปรแกรม Manga Browser พบว่ามันสามารถอ่านการ์ตูนแบบสแกนได้สบายๆ ลำบากแค่ต้องเลื่อนหน้าจอเล็กน้อยเท่านั้น (นี่เป็นเหตุผลให้เราต้องซื้อ Galaxy Tab สินะ จะได้พอดีจอ ไม่ต้องเลื่อนบ่อยๆ)
คำถามที่ทุกคนสนใจคือ Super AMOLED ปะทะ Retina Display ใครเหนือกว่า ตอนนี้ยังไม่มีใครได้ iPhone 4 ไปทดลอง คงต้องรอมันออกแล้วเอามาวางเทียบกันเท่านั้นล่ะครับ
สรุปว่าเรื่องจอภาพนี้ผมยืนยันว่า ต้องไปดูด้วยสายตาตัวเองเท่านั้น!

แบตเตอรี่

แบตเตอรี่ของ Galaxy S มีความจุ 1500 mAh มากกว่ามือถือระดับใกล้เคียงกันเล็กน้อย ผมไม่ได้ลองวัดอายุการใช้งานแบบเป็นเรื่องเป็นราวมากนัก แต่เท่าที่ใช้ในชีวิตประจำวันคือ เปิด Wi-Fi ค้างไว้ตลอด รับสาย เล่นเน็ตบ้างตามสมควร อยู่ได้ราวๆ วันครึ่งครับ (แต่ต้องชาร์จทุกวันอยู่ดีเพราะถ้าปล่อยไว้ไม่ชาร์จ มันจะไปตายช่วงครึ่งวันหลัง)
อันนี้ต้องยกความดีให้ Super AMOLED เพราะจอใหญ่ไม่ใช่เล่นแต่อยู่ได้นาน ก็เป็นความเจ๋งในระดับหนึ่งล่ะ

สรุป

ประเด็นด้านฮาร์ดแวร์คงจะหมดแค่นี้ (เรื่องกล้องจะแยกเป็นอีกตอนต่างหาก) สรุปปิดท้ายอีกรอบ
  • จอ Super AMOLED ยังหาคนมากินยาก แถมคราวนี้ขนาดใหญ่ 4" สบายตา
  • ซีพียู Hummingbird 1 GHz เหลือเฟือต่อความต้องการในยุคนี้
  • พื้นที่เก็บข้อมูลเยอะ ถ่ายวิดีโอ ได้แบบไม่ต้องคิดมาก
  • ตัวเครื่องบางจนน่าทึ่ง
  • Wi-Fi 802.11n, Bluetooth 3.0, DNLA รองรับการเชื่อมต่อในอนาคต (แต่ผมไม่มีอุปกรณ์สำหรับทดสอบสักอย่าง)
  • หน้าตาเหมือน iPhone ไปหน่อย และวัสดุดูด้อยกว่า Wave จากค่ายเดียวกัน

No comments:

Post a Comment