Samsung Galaxy S เป็นหนึ่งในมือถือ Android ที่น่าจับตามองที่สุดในขณะนี้ (และวางขายจริงแล้ว) สำหรับในเมืองไทย ซัมซุงขายผ่าน AIS ในราคา 22,898 รวมแวทแล้ว ซึ่งปรากฎว่าขายดีขนาดที่ว่าเปิดรับจองสามชั่วโมงแรก มียอดจองเฉลี่ยนาทีละเครื่องเลยทีเดียว (ข้อมูลจาก press release ของซัมซุงประเทศไทยครับ)
ผมได้เครื่องมาสักพักนึงแล้ว แต่ดองไว้นานกว่าจะได้เขียนรีวิว T_T ตอนนี้รวบรวมแรงกายแรงใจเขียนออกมาแล้ว ใครสนใจก็ตามอ่านกันได้เลยเกริ่น
ผู้อ่าน Blognone ที่เป็น power user คงไม่มีใครไม่รู้จัก Android และเท่าที่ดูจาก badge แล้ว แถวนี้มีคนใช้ Android อยู่ไม่น้อย คงไม่ต้องอธิบายหรือปูพื้นเรื่อง Android กันมากนัก (ถ้ายังไม่รู้จัก Android ลองย้อนไปอ่านซีรีส์ เปิดโลก Android, ตอนที่สอง, ตอนที่สาม ละกันนะครับ)คนที่เคยจับ Android มาแล้ว คงจะมีความรู้สึกคล้ายๆ กับผมว่า "มันยังทำไม่เสร็จ" เรื่องฟีเจอร์น่ะโอเค แต่ระดับความเนี้ยบนั้นยังสู้คู่แข่งไม่ได้ ยังให้ความรู้สึกเป็น developer phone อยู่มาก ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะซอฟต์แวร์เองด้วย (กูเกิลรับรู้ปัญหานี้ และประกาศว่าจะแก้แล้ว) ผมจับ Android มาหลายเครื่องหลายยี่ห้อ ก็ยังให้ความรู้สึกทำนองนี้กันหมด
แต่ Samsung Galaxy S เป็นมือถือตัวแรกที่ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่ developer phone อีกต่อไป มันกลายเป็น consumer phone อย่างแท้จริงแล้ว อันนี้ไม่ได้เวอร์หรือโฆษณา แต่จะค่อยๆ อธิบายต่อไปว่าทำไมครับ
Samsung Galaxy S
ซัมซุงกระโจนเข้ามาในตลาด Android ได้สักพักแล้ว มือถือตัวแรกคือ Galaxy i7500 ถือเป็นการลองตลาด และยังไม่โดดเด่นเท่าไรนัก ก่อนจะมาดังระเบิดกับ Galaxy Spica i5700 ที่จับตลาดกลาง แถมมีจุดขายที่ราคาถูกมาก! (ได้ยินเสียงกระซิบมาจากซัมซุงว่าตัวนี้ขายดีมาก) สองตัวนี้ใช้ Android รุ่นต้นตำรับจากกูเกิล ซึ่งไม่มีความแตกต่างจากคู่แข่งอื่นๆ ในตลาดมากนักSamsung Galaxy S หรือ i9000 นับเป็นมือถือตัวที่สามของซัมซุง ความน่าสนใจของมันมีหลายประการ แต่ผมคิดว่าที่สำคัญมี 3 ประเด็น
- เป็นมือถือระดับบนสุด flagship phone อัดสเปกฮาร์ดแวร์มาเต็มพิกัด
- ฝั่งซอฟต์แวร์ เพิ่ม TouchWiz UI 3.0 ครอบ Android ปกติเข้ามา
- ซัมซุงเริ่มสร้างบริการออนไลน์ของตัวเอง เช่น Samsung Apps ร้านขายโปรแกรมเฉพาะยี่ห้อนี้
เท่าที่ผมมีข้อมูล ณ ตอนนี้ ผมคิดว่าซังซุงจะยังไม่เปิดตัวมือถือที่สูงกว่า Galaxy S จนกว่าจะถึงสิ้นปี โดยระดับไล่เลี่ยกันจะมี Galaxy S Pro ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกันที่เพิ่มคีย์บอร์ด และ Galaxy Beam มาพร้อมกับฟีเจอร์โปรเจคเตอร์ที่ผมว่ามันยังเฉพาะทางมากๆ ส่วนมือถือตัวอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Galaxy 2, Galaxy 5, Galaxy Apollo ล้วนแต่จับตลาดต่ำลงมากว่านี้ทั้งนั้น
ดังนั้น ถ้าสนใจมือถือ Android รุ่นท็อป Galaxy S จะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก ไปจนกว่าจะถึงช่วงคริสต์มาสซึ่งเป็นฤดูจับจ่ายของฝรั่ง ผมเดาว่าซัมซุงถึงจะปล่อยมือถือระดับบนออกมาอีกครั้งครับ (อยู่ได้อีกครึ่งปี)
สเปก
ปกติแล้วผมไม่ค่อยเน้นเรื่องสเปกของฮาร์ดแวร์มือถือเท่าไรนัก แต่รอบนี้ Galaxy S มีจุดขายที่ฮาร์ดแวร์เทพ คัดมาเฉพาะไฮไลท์ละกันครับ- ซีพียู ARM Cortex-A8 ผลิตโดยซัมซุงเอง รหัส "Hummingbird" ความถี่ 1 GHz
- จอภาพ เป็นจอ Super AMOLED ขนาด 4.0" ความละเอียด 480x800 อันนี้เดี๋ยวจะกล่าวต่อไป
- กล้อง กล้องหลัง 5.0 MP, ออโต้โฟกัส, (ไม่มีแฟลช) ถ่ายวิดีโอได้ 720p ส่วนกล้องหน้า 0.3 MP
- หน่วยความจำ RAM 512 MB, หน่วยความจำภายใน 16 GB, ใส่ Micro SD เพิ่มได้เองต่างหาก
- การเชื่อมต่อ 3G HSUPA, Wi-Fi 802.11n, Bluetooth 3.0, DNLA
- แบตเตอรี่ 1500mAH
- ความหนา 9.9 มม. (ไม่ถึงเซ็นดี)
ส่วนของซีพียู Hammingbird มีประเด็นที่น่าสนใจเช่นกัน ก่อนหน้านี้มีข่าวออกมาว่า Samsung Galaxy S มี GPU เร็วกว่า iPhone 3 เท่า ถ้าจะให้เล่าแบบละเอียดคือ ชุดหน่วยประมวลผล (CPU+GPU) ของ Galaxy S ซึ่งประกอบด้วย Hummingbird หรือ S5PC110 บวกกับหน่วยประมวลผลกราฟฟิค PowerVR SGX540 สามารถประมวลผลโพลีกอนได้ถึง 90 ล้านชิ้นต่อวินาที
คู่แข่งในระดับเดียวกัน (ที่มีข้อมูล)
- Nexus One ที่ใช้ Qualcomm Snapdragon QSD8x50 1GHz + Adreno 200 ได้ 22 ล้านชิ้น
- iPhone 3GS ใช้ Cortex-A8 เหมือนกันแต่ความถี่ 600 MHz + PowerVR SGX535 ได้ 28 ล้านชิ้น
รูปลักษณ์ภายนอก
Galaxy S เป็นมือถือตระกูลแท่งหรือ candybar มีกรอบโครเมียมสีเงินรอบตัว ดังภาพฟีเจอร์การรับสายและวางสายต้องสัมผัสหน้าจอแทน ที่ผมว่าน่าสนใจคือซัมซุงไม่ได้ให้ปุ่ม Search ที่กูเกิลพยายามดันนักดันหนามาด้วย
ด้านข้างซ้ายมือมีปุ่มปรับระดับเสียง ส่วนฝั่งขวาเป็นปุ่มเปิดเครื่อง+ล็อคหน้าจอ ไม่มีปุ่มชัตเตอร์แยกต่างหากมาให้
แต่พอเปิดฝาครอบออกมาแล้วกลับทำได้ดีครับ ผมสามารถถอด Micro SD และซิมการ์ดออกมาได้เลยโดยที่ไม่ต้องถอดแบตแบบมือถือรุ่นอื่นบางตัว Galaxy S สามารถทำงานในโหมดไร้ซิมไร้ SD ได้ไม่มีปัญหา
จุดขายสำคัญของ Galaxy S อีกประการคือความบาง (ดูภาพแรกสุดประกอบ) จับครั้งแรกถึงกับตกใจว่าทำไมบางได้ขนาดนี้ (แต่ตอนนี้โดน iPhone 4 เฉือนทำลายสถิติความบางไปประมาณ 0.5 มิลลิเมตร) อย่างไรก็ตาม Galaxy S ไม่ได้มีความหนาเท่ากันตลอดทั้งอัน ช่วงก้นจะงอนออกมานิดหน่อย
จุดด้อยสำหรับรูปลักษณ์ภายนอกคือ วัสดุยังดูพลาสติกไปสักนิด (เทียบกับ Wave แล้วผมว่า Wave ดูบึกบึนกว่า) และหน้าตาที่ดู iPhone มากๆ ซึ่งอันนี้มีทั้งข้อเสียและข้อดี
เปรียบเทียบตัวต่อตัว
ไหนๆ ก็เลี่ยงการเปรียบเทียบกับ iPhone ไม่ได้อยู่แล้ว เราจับมันมาเทียบกันตรงๆ เลยดีกว่า (ขอบคุณคุณออย @hohoteam ที่ให้ยืม iPhone 3G มาถ่ายรูปเทียบ)Galaxy S บางกว่าเช่นกัน
เรื่องรูปลักษณ์และฮาร์ดแวร์ภายนอก ผมคิดว่าสุดท้ายแล้ว มันจะมีเรื่องความชอบส่วนตัวเข้ามาประกอบการตัดสินใจด้วย คงฟันธงลำบากว่าใครดีกว่าใคร สิ่งที่ผมทำได้คือชี้จุดดีจุดเสียของแต่ละเครื่อง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ และเรื่องพวกนี้แนะนำให้ไปลองจับเครื่องจริงอีกครั้งก่อนตัดสินใจซื้อนะครับ
จอภาพ Super AMOLED
Samsung Galaxy S เป็นมือถือตัวที่สองของโลกที่ใช้จอภาพ Super AMOLED และเป็นมือถือ Android ตัวแรกที่ใช้จอตัวนี้ (ตัวแรกคือ Samsung Wave ที่ใช้ bada)Super AMOLED ถือเป็นอาวุธลับอย่างแท้จริงของซัมซุง มันเป็นการยกระดับครั้งสำคัญจากจอ AMOLED ที่มือถือรุ่นก่อนหน้านี้สักพักอย่าง Nexus One ใช้ เพียงแต่คราวนี้ซัมซุงใช้แต้มต่อ Super AMOLED เป็นจุดขายของมือถือตัวเอง โดยประกาศชัดว่า "จะมีแต่มือถือซัมซุงเท่านั้น" ที่ได้ Super AMOLED (เดาว่าอย่างน้อยๆ ก็ใน 1-2 ปีข้างหน้านี้)
Super AMOLED คืออะไร? ผมขอรียูสวิดีโอเดิมเมื่อครั้งรีวิว Samsung Wave นะครับ
No comments:
Post a Comment